เมนู

ครอบงำประการที่ 6 คนหนึ่งมีอรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปใน
ภายนอกแดง มีสีแดง รัศมีแดง แสงสว่างแดง ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า เราครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วจึงรู้จึงเห็น นี้เป็นเหตุเครื่อง
ครอบงำประการที่ 7 คนหนึ่งมีอรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปใน
ภายนอกขาว มีสีขาว รัศมีขาว แสงสว่างขาว ย่อมมีความสำคัญว่า
เราครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วจึงรู้จึงเห็น นี้เป็นเหตุเครื่องครอบงำ
ประการที่ 8 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุเป็นเครื่องครอบงำ 8
ประการนี้แล.
จบ อภิภายตนสูตรที่ 12

อรรถกถาอภิภายตนสูตรที่ 5


อภิภายตสูตรที่ 5

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อภิภายตนานิ แปลว่า เหตุแห่งการครอบงำ. ครอบงำ
อะไร ? ครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึกบ้าง อารมณ์บ้าง. จริงอยู่
เหตุแห่งการครอบงำเหล่านั้น ย่อมครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึก
โดยภาวะเป็นปฏิปักษ์ ครอบงำอารมณ์โดยภาระที่บุคคลมีญาณ
สูงยิ่งขึ้นไป. ก็ในคำว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ดังนี้เป็นต้น
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้กำหนดรูปภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมรูปภายใน.
จริงอยู่ ภิกษุเมื่อกระทำบริกรรมนีลกสิณในภายใน ย่อมกระทำ
ที่ผมที่ดี หรือที่ดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมปีตกสิณ ย่อมกระทำ
ที่มันข้น ที่ผิวหนัง ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า หรือที่ตำแหน่งสีเหลืองของ
ดวงตา. เมื่อจะกระทำบริกรรมโลหิตกสิณ ย่อมกระทำที่เนื้อ ที่โลหิต

ที่ลิ้น หรือที่ตำแหน่งที่มีสีแดงของดวงตา. เมื่อจะกระทำบริกรรม
โอทาตกสิณ ย่อมกระทำที่กระดูก ที่ฟัน ที่เล็บ หรือที่ตำแหน่ง
ที่มีสีขาวแห่งดวงตา. ก็สีนั้นเขียวสนิท เหลืองสนิท แดงสนิท
ขาวสนิท ก็หาไม่ เป็นสีไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น.
บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรมอัน
หนึ่งของภิกษุใด เกิดขึ้นในภายใน แต่นิมิตเกิดภายนอก ภิกษุ
นั้นชื่อว่ากำหนดรูปภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมภายใน และอัปปนา
ภายนอก เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ แปลว่า รูปีบุคคล
ผู้ได้รูปฌานผู้หนึ่ง ย่อมเห็นรูปภายนอก. บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่
ไม่ขยาย. บทว่า สุวณฺณานิ ทุพฺพณฺณานิ แปลว่า มีวรรณะดีหรือ
วรรณะเลว. พึงทราบว่าตรัสอภิภายตนะนี้ ด้วยอำนาจปริตตารมณ์
นั่นเอง. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย ความว่า คนผู้มีไฟธาตุดี ได้อาหาร
เพียงทัพพีเดียว คิดว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะพึงกินในอาหารนี้
จึงรวบมาทำให้เป็นคำเดียวกัน ฉันใด บุคคลมีญาณสูง มีญาณ
แก่กล้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้นด้วยคิดว่า จะมี
ประโยชน์อะไรที่ เราจะพึงเข้าสมบัติในปริตตารมณ์นี้ นี้ไม่เป็น
ความหนักใจสำหรับเรา ดังนี้แล้วจึงเข้าสมาบัติ อธิบายว่า ภิกษุ
นั้นย่อมถึงอัปปนาในอารมณ์นี้ พร้อมกับทำนิมิตให้เกิดขึ้นนั่นแหละ.
ก็ด้วยบทว่า ชานานิ ปสฺสานิ นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึง
ความผูกใจของภิกษุ ก็แหละความผูกใจนั้นแล ย่อมมีแก่ภิกษุผู้
ออกจากสมบัติ ไม่ใช่มีในภายในสมาบัติ. บทว่า เอวสญฺญี โหติ
ความว่า เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ ด้วยอาโภคสัญญาบ้าง ด้วย

ฌานสัญญาบ้าง. เพราะอภิภวนสัญญา สัญญาในการครอบงำ
ย่อมมีแก่เธอแม้ในภายในสมาบัติ แต่อาโภคสัญญา สัญญาในการ
ผูกใจ ย่อมมีแก่เธอผู้ออกจากสมาบัติเท่านั้น.
อปฺปมาณานิ ได้แก่ ขยายขนาดออกไปไม่จำกัด อธิบายว่า
ใหญ่. ก็ในคำว่า อภิภุยฺย นี้มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:- บุคคลกินจุได้
อาหารเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่ง จึงกล่าวว่า แม้สิ่งอื่น ๆ ก็เอามาเถิด ๆ
นั่นจักทำอะไรแก่เราได้ ไม่เห็นอาหารนั้นเป็นของมาก ฉันใด
บุคคลผู้มีญาณสูง มีญาณแก่กล้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูป
เหล่านั้นด้วยคิดว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะพึงเข้าสมาบัติในอารมณ์
นี้ นี้ไม่เป็นประมาณ. ในการทำจิตให้เป็นเอกัคคตา ไม่หนักใจแก่
เราเลย ดังนี้แล้ว จึงเข้าสมาบัติ อธิบายว่า ทำจิตให้ถึงอัปปนาใน
อารมณ์นี้ พร้อมกับทำนิมิตให้เกิดขึ้นนั่นแหละ. บทว่า อชฺฌตฺตํ
อรูปสญฺญี
ความว่า เว้นจากบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เพราะ
ไม่ได้รูปหรือเพราะไม่ต้องการรูป
บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปฺสฺสติ ความว่า บริกรรมก็ดี
นิมิทก็ดี ของผู้ได้เกิดในภายนอก ผู้นั้นมีความกำหนดอรูปภายใน
ด้วยอำนาจบริกรรม และอัปปนาในภายนอกอย่างนี้ ตรัสเรียกว่า
เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้หนึ่ง ย่อมเห็นรูปภายนอก. คำที่เหลือ
ในพระสูตรนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในอภิภายตนะที่ 4 นั่นแหละ.
ก็ในอารมณ์ทั้ง 4 นี้ ปริตตารมณ์ มาแล้วด้วยอำนาจวิตกจริต
อัปปมาณารมณ์ มาแล้วด้วยอำนาจโมหจริต อารมณ์ที่มีพรรณะดี
มาแล้วด้วยอำนาจโทสจริต อารมณ์ที่มีพรรณะทรามมาแล้วด้วย

อำนาจราคจริต. เพราะอารมณ์เหล่านี้ เป็นสัปปายะของจริต
เหล่านั้น. ก็ความที่อารมณ์เหล่านั้นเป็นสัปปายะนั้น ได้กล่าวแล้ว
ในตริยนิเทศในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
ในอภิภายตนะที่ 5 เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า นีลานิ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำจาจ รวม
เอาสีทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ ตรัสด้วยอำนาจวรรณะ (คือสี).
บทว่า นีลนิทสฺสนานิ ตรัสด้วยอำจาจเห็นรูปสีเขียว. ท่านอธิบาย
ไว้ว่า รูปมีสีไม่เจือกัน ไม่ปรากฏช่อง ปรากฏมีสีเขียวเป็นอันเดียวกัน
ก็บทว่า นีลนิภาสานิ นี้ ตรัสด้วยโอภาสแสง อธิบายว่า แสงมีสีเขียว
คือประกอบด้วยแสงสีเขียว. ด้วยคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงว่าสีเหล่านั้นเป็นสีบริสุทธิ์ด้วยดี. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสอภิภายตนะทั้ง 4 นี้ ด้วยอำนาจสีที่บริสุทธิ์เท่านั้น. ก็ในกสิณ
เหล่านี้ การกสิณ การบริกรรม และวิธีอัปปนา มีอาทิว่า พระ-
โยคีเมื่อกำหนดนีลกสิณ ย่อมกำหนดนิมิตในสีเขียว ที่ดอกไม้
ที่ผ้า หรือที่วรรณธาตุ ธาตุสี ดังนี้ ทั้งหมดได้กล่าวไว้พิสดารแล้ว
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล.
จบ อรรถกถาอภิภายตนสูตรที่ 5

13. วิโมกขสูตร


[163] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 8 ประการนี้ 8 ประการ
เป็นไฉน คือ บุคคลผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย นี้เป็นวิโมกข์
ประการนี้ 1 คนหนึ่งมีอรูปสัญญาในภายใน ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย
ในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 2 คนที่น้อมใจว่า งาม นี้เป็น
วิโมกข์ประการที่ 3 เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ได้ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุ
อากาสานัญจายตนะ โดยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด นี้เป็น
วิโมกข์ประการที่ 4 เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดย
ประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนะ โดยมนสิการว่า วิญญาณ
ไม่มีที่สุด นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 5 เพราะล่วงวิญญาสัญจายตนะ
โดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญาตนะ โดยมนสิการว่า
ไม่มีอะไรหน่อยหนึ่ง นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 6 เพราะล่วงอากิญ-
จัญญายตนะโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ
นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 7 เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
โดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ นี้เป็นวิโมกข์ประการ
ที่ 8 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 8 ประการนี้แล.
จบ วิโมกขสูตรที่ 13